วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

Ford GT



Ford GT #1
      ฟอร์ด GT เครื่องยนต์ที่ได้รับการขนานนามว่า ซูเปอร์คาร์ ด้วยขนาด 550 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดได้ 205 ไมล์/ชั่วโมง และมีค่าตัว140,000 ดอลลาร์

Ford GT #2

      Ford GT สามารถสร้างอัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ได้ภายในระยะเวลาเพียง 3.3 วินาที และการขับแบบควอเตอร์ไมล์ใช้เวลาเพียงแค่ 11.6 วินาที และทำความเร็วได้ 128 ไมล์/ชั่วโมง

Ford GT #3

      การทดสอบในสถานการณ์เดียวกันกับรถที่มีค่าตัวแพงกว่าอย่าง เฟอร์รารี่ สตราเดล (Ferrari Stradale) ที่มีราคา 193,000 ดอลลาร์ ปรากฏว่า สตราเดล มีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมงที่ 4 วินาที และการขับแบบควอเตอร์ไมล์ใช้เวลามากกว่า Ford GT 0.8 วินาที และทำความเร็วได้น้อยกว่า GT 13 ไมล์/ชั่วโมง

Ford GT #4

      นอกจากนั้นในส่วนของการทดสอบอื่นๆ ก็ปรากฏว่าสปอร์ตที่มีราคาแพงกว่ากลับให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างไปจาก Ford GT แต่อย่างใด

Ford GT #5

      หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ GT เป็นผู้ชนะในการทดสอบซูเปอร์คาร์ ก็คือเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์อลูมิเนียม ขนาด 5.4 ลิตร วี 8 DOHC 4 วาล์ว/สูบ ซูเปอร์ชาร์จให้กำลังสูงสุด 550 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 ฟุตปอนด์ ที่ 3,750 รอบ/นาที หรือเท่ากับว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ให้สมรรถนะ 101.9 แรงม้า/ลิตร แรงบิด 92.6 ฟุตปอนด์/ลิตร

Ford GT #6

เครื่องยนต์วางกลาง ขับเคลื่อนล้อหลัง น้ำมันเชื้อเพลิง เบนซิน ออคเทน 91 ระบบเกียร์ ธรรมดา 6 สปีด
ขนาด ยาว x กว้าง x สูง -182.8 x 76.9 x 44.3 นิ้ว ฐานล้อ 106.7 นิ้ว ฐานล้อหน้า 63 นิ้ว หลัง 63.7 นิ้ว
ช่วงล่างหน้า/หลัง - ดับเบิล วิชโบน
พวงมาลัย - แรค แอนด์ พิเนียน อัตราทด 17:1 วงเลี้ยว (เส้นรอบวง) 40 ฟุต

Ford GT #7

Ford GT #8

Ford GT #9

Ford GT #10

Ford GT #11

Ford GT #12

Ford GT #14

Ford GT #16

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

MASERATI TARGETS 5-SERIES

Maserati targets 5-series

      ที่เห็นอยู่นี่คือรถ saloon ขนาดกลางรุ่นใหม่ของ Maserati ซึ่งตั้งใจจะให้เป็นรถที่ทำยอดขายให้ Maserati มากที่สุดโดยตั้งเป้าไว้ที่ 50,000 คันในปี 2015 การรื้อฟื้นนำชื่อ Ghibli กลับมาใช่ใหม่หลังจากห่างหายไปสิบหกปี มันจะเป็นรถสี่ประตูขับเคลื่อนล้อหลังที่ถูกทำมาเพื่อผู้ขับโดยแท้จริง โดยไม่ใช่เป็นการย่อส่วน Quattroporte ลงมา มีความหวังว่ามันจะให้การตอบสนองที่เฉียบคมจากทั้งแชสซีส์และจากเครื่อง V6 ที่กระตือรือร้น ในที่นี้คือเครื่อง V6 twin-turbo 410 แรงม้าจากความช่วยเหลือของ Ferrari นั่นแปลว่า Maserati ไม่ได้พูดเล่น

Maserati targets 5-series การหวนคืนจของGhibli เน้นการขับขี่และมีขุมพลัง V6

                  แต่สิ่งที่จะทำให้มันเป็นรถขายดีนั้นอาจอยูที่ Ghibli จะเป็นรถ Maserati รุ่นแรกที่มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกใช้ และเป็นสิ่งตัดสินที่สำคัญที่สุดในการลุยตลาดยุโรป แต่สิ่งที่จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญคือการที่ Harald Wester CEO ของ Maserati บอกว่ารถของเราจะต้องมี DNA ของแบรนด์อยู่อย่างครบถ้วน โดยที่ในรุ่นเปิดตัวนี้จะไม่มีเครื่อง V8 ให้เลือกใช้เพราะ Maserati เห็นว่าไม่คุ้มที่จะผลิตออกมา

Maserati targets 5-series

                  สายการผลิตจะเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนโดย Ghibli คาดว่าจะมียอดขายแซง Quattroporte ไปถึงสองต่อหนึ่งที่ 25,000 คันต่อปี ราคาของมันจะอยู่ราวๆ 50,000 ปอนด์ สำหรับรถรุ่นเบสิกเครื่องดีเซล และรุ่นเครื่อง V6 410 แรงม้า 60,000 ปอนด์ ส่วนเครื่อง V6 ดีเซล 330 แรงม้าจะแทรกอยู่ตรงกลาง Maserati คาดว่าจะขายมันได้ 1000 คันในอังกฤษ
                  Levante SUV ปี 2015 ซึ่งมีหน้าตาเหมือน Kubang concept ก็คาดว่าจะขายได้ในปริมาณพอๆ กันกับ Ghibli ส่วนรถที่จะมาแทน GranTurismo นั้นรอคิวเป็นรายต่อไปและยังมีรถสปอร์ตอีกสองรุ่น

Maserati targets 5-series

SIX-SHOOTERS MASERATI TARGETS 5-SERIES

                  เครื่องยนต์มีสามรุ่นแต่ทั้งหมดเป็น V6 3.0 twin-turbo ซึ่งประกอบโดย Ferrari จะเริ่มเปิดตัวเครื่องดีเซลเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ Maserati ด้วยเครื่อง common-rail direct injection 270 แรงม้า และเครื่องเบนซินทั้งสองความแรงใช้พื้นฐานของ Chrysler Pentastar ที่ 330 แรงม้าและ 410 แรงม้าตามลำดับ มีการตั้งเป้าทำเวลา 0-62 ไมล์/ชม. ได้ใน 5.0 วินาที ทาง Maserati ยังปฏิเสธว่า Ghibli ไม่ใช่คู่แข่งของ M5 แต่จะชนกันกับ BMW 535i และ Mercedes E500 มากกว่า

Maserati targets 5-series

TASTY HANDLING

                  ใช้พื้นฐานที่ลดขนาดลงของ Quattroporte โดย Ghibli ใช้อะลูมิเนียมอย่างกว้างขวางเพื่อช่วยลดน้ำหนักตัวและช่วยในเรื่องของสมดุล ระบบช่วงล่าง Sport SkyHook จะถูกนำมาใช้ด้วยเป็นออปชั่นสำหรับรุ่นราคาถูกและติดมาเป็นมาตรฐานสำหรับรุ่น V6 410  แรงม้า และเราหวังว่าการที่มันเน้นในเรื่องสมรรถนะที่เฉียบคมจะทำให้มีการปรับช่วงล่างให้หนึบกว่าที่เคยเซ็ตไว้ใน Quattroporte

Maserati targets 5-series

TRANSMISSION

                  เครื่องยนต์ทุกตัวจะส่งกำลังผ่านเกียร์ออโต้ 8 จังหวะสุดนุ่มนวลของ ZF โดยติดตั้งไว้ที่ส่วนท้ายของเครื่องยนต์ Ghibli เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังโดยกำเนิด แต่วิธีการติดตั้งเกียร์แบบนี้ช่วยทำให้ติดระบบขับเคลื่อนสี่ล้อได้ แต่มีเฉพาะในรถพวงมาลัยขวาเท่านั้น ยังไม่มีการพูดถึงเกียร์ธรรมดา อย่างไรก็ดีแป้น paddleshift ของ ZF ที่เปลี่ยนเกียร์ได้ฉับไวก็คงไม่ทำให้คุณผิดหวัง

EXTERIOR
                  เส้นสายหวือหวาของตัวถัง Ghibli นั้นเดินตามแนวทางที่ถูกตั้งไว้โดย Quattroporte โดยมีกระจังหน้าที่มีช่องว่างและซุ้มล้อโค้งได้ใจ ความยาวจะมากกว่า 4,899 มม. ของ 5-series นิดหน่อย แต่ก็ยังต่ำกว่า 5 ม. และมีการให้ความสำคัญกับที่นั่งหลังเพื่อให้มั่นใจได้ว่า Ghibli จะมีพื้นที่วางขามากพอๆกับ Quattroporte รุ่นที่แล้ว และมีมากว่าคู่แข่งจากเยอรมันด้วย

CABIN

                  หน้าจอหลักผ่านระบบ touchscreen โอบล้อมด้วยหนังและอะลูมิเนียมปัด ระบบเสียงใช้ของ Bowers & Wikins จากอังกฤษซึ่งเป็นสุดโปรดของ Jaguar ระบบการเชื่อมต่อมี WiFi ด้วย และจะเป็นลูกเล่นหลักซึ่งทำให้ Gran Turismo ดูล้าหลังไปเลย

15 SECOND UPDATE

“Baby” Maserati จะใหญ่กว่า 5-series อยู่หน่อยมีเพียงเครื่อง V6 ซึ่งรวมถึงเครื่องดีเซลเป็นครั้งแรกของ Maser ขับเคลื่อนสองหรือสี่ล้อ ราคาเริ่มต้นที่ 50,000 ปอนด์

3 SPORTS CARS TO SPICE UP MASERATI RANGE

                  Maserati กำลังวางแผนทำรถ supercar และรถ สปอร์ตเครื่อง V6 กับ V8 รุ่นแรกที่จะได้เจอคือ Gran Turismo ll ในปี 2015 ซึ่งยังจะเป็นรถในรูปแบบ 2+2 ที่มีเครื่องยนต์ V8 และความแรง 460 แรงม้า 530 แรงม้า และ MC Stradale 600 แรงม้า จากนั้นในปี 2015 เป็นคิวของรถซึ่ง Maserati ทำตาม LaFerrari โดยอาจจะไม่ใช้เครื่อง V12 หรือ V8 แต่เป็นรถพลังไฮบริดแรง 950 แรงม้า คาดว่าราคาคงอยู่ราวๆ 1m ปอนด์ และผลิตออกมาเพียง 50 คัน ส่วนรุ่นที่สามจะเป็นการทำรถที่ต่ำลงมาโดยใช้พื้นฐานของรถ Alfa 4C เครื่องยนต์วางกลาง (ล่าง) แต่จะเป็นรถ coupe เครื่อง V6 450 แรงม้าวางหน้า โดยตั้งเป้าจะสู้กับ Porsche 911 ออกมาในปี 2016

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

Mercedes-Benz SLS AMG GT



      หลังจากที่ Mercedes-Benz ได้จำหน่ายซุปเปอร์คาร์รุ่น SLS AMG ออกสู่ท้องตลาดตั้งแต่ปี 2010 มาคราวนี้ทางบริษัท ได้เผยโฉมรุ่น SLS AMG GT โดยมีทั้งแบบคูเป้และเปิดประทุน ซึ่งจะออกจำหน่ายภายในปีหน้า เพื่อเป็นตัวแทนของรุ่นเก่าที่จะยุติการผลิตภายในสิ้นปีนี้



      สำหรับรุ่น SLS AMG GT นี้จะยังคงใช้กระบอกสูบ 6.2 ลิตร V8 เช่นเดียวกับรุ่น SLS AMG แต่จะมีการเพิ่มแรงม้าเข้าไปอีก 20 แรงม้า โดยมีค่าพละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 583 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 354 นิวตันเมตรเท่ากับรุ่นเก่า ทางด้านอัตราเร่งจะอยู่ที่ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในระยะเวลา 3.6 วินาที ซึ่งเร็วกว่าเดิม 0.01 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นเท่าเดิมที่ 317 กิโลเมตรต่อชั่วโมง



          ทั้งนี้ไม่ใช่ระบบขับเคลื่อนเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลง แต่ Mercedes ยังได้ปรับแต่งให้รถทรงตัวบนท้องถนนได้ดีขึ้น โดยได้ปรับปรุงระบบกันสะเทือนใหม่ เพิ่มความหนึบของสปริงกับโช้คอัพ ด้านหน้าใส่ล้อแม็ก 19 นิ้ว พร้อมยาง 265/35 R19 ด้านหลังใส่ล้อแม็ก 20 นิ้ว พร้อมยาง 295/30 R20 ภายนอกปรับโฉมใหม่โดยไฟหน้าและไฟท้ายเปลี่ยนเป็นสีดำ คาลิปเปอร์เบรคสีแดง ในห้องโดยสารตกแต่งด้วยเบาะหนังสีดำและพวงมาลัยด้านหน้าตัดตรง ชิ้นส่วนของรถทำจากคาร์บอน-ไฟเบอร์ เบรคเป็นคาร์บอนเซรามิก รวมไปถึงระบบเครื่องเสียงรอบทิศทางจาก Bang & Olufsen อีกด้วย



          กำหนดการจำหน่ายของ SLS AMG GT น่าจะอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยทางฝั่งอเมริกาจะอยู่ที่เดือนพฤศจิกายน ส่วนยุโรปอยู่ที่ตุลาคม สำหรับแบบคูเป้ปักป้ายขายในราคา 254,548 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 8 ล้านบาท และรุ่นแบบเปิดประทุนขายอยู่ที่ราคา 264,907 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 8.2 ล้านบาท




วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

12C GT Can-Am Edition


The McLaren 12C GT Can-Am Edition

      หลังได้รับเสียงเรียกร้องจากลูกค้ากระเป๋าหนักอย่างต่อเนื่อง McLaren ตัดสินใจผลิตรุ่นโปรดักชั่นของ 12C GT Can-Am Edition ออกจำหน่ายปีหน้า โดยแถลงยืนยันแผนการผลิตซูเปอร์คาร์หน้าตาสุดเร้าใจนี้ระหว่างการแข่งขัน F1 สนาม United States Grand Prix ที่เมืองออสติน รัฐเทกซัสในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

The McLaren 12C GT Can-Am Edition

      12C GT Can-Am Edition เคยออกโชว์ตัวในฐานะรถต้นแบบไปแล้วที่งาน 2012 Pebble Beach เป็นรุ่นที่ถูกผลิตขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ Bruce McLaren และ Denny Hulme สองนักแข่งชื่อดังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการแข่งขันรายการ Can-Am ช่วงทศวรรษที่ 1960

      McLaren มีแผนเดินสายการผลิต 12C GT Can-Am Edition ในโรงงานของ McLaren GT จำนวนจำกัดเพียง 30 คันเท่านั้น มาพร้อมกับพละกำลังระดับ 630 แรงม้าจากเครื่องยนต์ 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่มีความแรงสูงสุดในไลน์ 12C

McLaren to Showcase 12C GT Can-Am Edition at Goodwood [Video]

      รูปลักษณ์ภายนอกของ 12C GT Can-Am Edition ดึงดูดทุกสายตาด้วยปีกสปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดยักษ์ พร้อมชุดแต่งรอบคันถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสนามแข่ง F1 ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกดขณะพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง มีการเปิดเผยด้วยว่าแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์มีมากกว่ารุ่นสแตนดาร์ดถึง 30%


      นอกจากแอโรพาร์ทรอบคันแล้ว ยังมีการใช้คาร์บอนไฟเบอร์ตกแต่งเพิ่มเติมทั้งกระจกมองข้าง ช่องระบายอากาศบนฝาครอบเครื่องยนต์และช่องดักลมด้านข้าง ปิดท้ายความสมบูรณ์แบบด้วยล้ออัลลอยเนื้อฟอร์จน้ำหนักเบาสีดำดุดัน หุ้มยางสมรรถนะสูงของ Pirelli

Mclaren 12C Can Am Edition Racing Concept

      ในห้องโดยสารเพียบพร้อมด้วยบรรยากาศแบบรถแข่ง เริ่มจากโครงเหล็กนิรภัยหรือ roll cage ผ่านมาตรฐานสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติหรือ FIA เบาะบั๊กเก็ตซีทพร้อมเข็มขัดนิรภัยและพวงมาลัยที่ได้แรงบันดาลจากรถแข่ง F1

McLaren-MP4-12C-Can-Am-GT-08

      ซูเปอร์คาร์สายพันธุ์แข่งคันนี้จะผลิตตามการสั่งซื้อ เริ่มจากเดือนมีนาคมปีหน้าเป็นต้นไป ราคาจำหน่ายอยู่ที่ 375,000 ปอนด์ มหาเศรษฐีที่จับจอง 12C GT Can-Am Edition ยังได้รับแพ็คเกจพิเศษคือจะมีวิศวกรประจำหนึ่งคนคอยดูแลในสนามแข่งด้วย

McLaren-MP4-12C-Can-Am-GT-09

McLaren-MP4-12C-Can-Am-GT-06

McLaren-MP4-12C-Can-Am-GT-03

McLaren-MP4-12C-Can-Am-GT-04

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

Mclaren P1



      เปิดตัวแล้วสำหรับรุ่นโปรดักชั่นของ Mclaren P1 ในงาน Geneva Motor Show เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยจะพร้อมออกจำหน่ายในปลายปี 2013 นี้ โดยรถสัญชาติอังกฤษรุ่นนี้ จะผลิตออกมาเพียง 375 คันเท่านั้น


      รูปลักษณ์ภายนอกได้ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อให้เกิดแรงปะทะจากลมน้อยที่สุด และควบคุมรถได้อย่างราบรื่นแม้ขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดย Mclaren P1 ใช้โครงสร้างจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีน้ำหนักเบา และแข็งแรงทนทานเหมือนรถฟอร์มูล่าวัน ส่วนภายในได้ออกแบบโดยคำนึงถึงผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้มีความสะดวกสบาย ซึ่งเมื่อลองเข้าไปนั่งแล้วคุณจะรู้สึกประหนึ่งเหมือนอยู่ในเครื่องบินเจ็ทเลยทีเดียว ขณะที่แผงหน้าปัดเป็นแบบจอดิจิตอลเพิ่มความลงตัวยิ่งขึ้นไปอีก


       Mclaren P1 ซูเปอร์คาร์ตัวแรง พลังงานไฮบริด


      Mclaren P1 ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.8 ลิตร ทวินเทอร์โบ ให้กำลังสูงสุด 903 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลัง ยังใช้เครื่องยนต์แบบมอเตอร์ไฟฟ้า ถือว่าพิเศษมากสำหรับรถที่มีสมรรถนะระดับนี้ และเมื่อมีการนำเอาเครื่องไฮบริดมาใช้ทำให้ช่วยลดอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ไปเกือบถึง 200 กรัมต่อกิโลเมตรเลยทีเดียว


      ที่พิเศษกว่านั้นคือ Mclaren P1 มาพร้อมกับระบบฟังก์ชั่นการขับขี่สุดเจ๋ง "Instant Power Assist System" (IPAS) และ  "Drag Reduction System" (DRS) ซึ่งปุ่มควบคุมระบบทั้ง 2 นี้ อยู่ที่แป้นพวงมาลัย โดยระบบแรกเป็นระบบสั่งการมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อเรียกกำลังแรงม้าเพิ่มขึ้น ส่วนระบบที่สองคือระบบที่ควบคุมปีกหลังเพื่อลดแรงต้านของอากาศทำให้รถแรงขึ้นไปอีก


      Mclaren P1 ซูเปอร์คาร์ตัวแรง พลังงานไฮบริด


      เห็นสมรรถนะเครื่องยนต์แล้วก็ต้องพูดถึงความเร็วของ P1 กันสักหน่อย โดยตัวรถมีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใช้เวลาน้อยกว่า 3 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุด 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


      สำหรับ Mclaren P1 ส่วนด้านราคานั้นก็เหมือนกัน สำหรับในประเทศต้นกำเนิดอย่างอังกฤษเริ่มต้นที่ 866,000 ปอนด์ หรือประมาณ 37 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่มีราคาค่าตัวสูงขนาดนี้เป็นเพราะทาง Mclaren จะผลิตออกวางจำหน่ายให้ได้จับจองจำนวนจำกัดตามจำนวนที่กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง